จากหัวลำโพงถึงอำเภอปาย
ปกติแล้วเราสองคนจะจัด Road Trip ขึ้นดอยที่เชียงใหม่กันเกือบทุกปีแต่ปีนี้ด้วยความ “อยาก” ส่วนตัวของผม ที่ต้องการลิ้มลองประสบการณ์พิชิต “Mae Hong Son Loop” ที่ว่ากันว่าเป็นเส้นทางที่โหดที่สุดเส้นหนึ่งของประเทศไทยเพราะถ้าหากขับจากเชียงใหม่ถึงแม่ฮ่องสอนครบหนึ่งรอบจะมีโค้งมากถึง 4,088 โค้ง (โดยประมาณ) และเนื่องจากผมได้สะสมประสบการณ์การขับรถขึ้นเขาลงดอยมามากประมาณหนึ่งจนเริ่มมั่นใจว่า “เอาอยู่” ก็เลยตัดสินใจพาคุณภรรยาไปลุยแม่ฮ่องสอนกันสักตั้ง
เริ่มต้น Trip ด้วยรถไฟที่หัวลำโพง
อันนี้ก็เป็นไอเดียของผมที่อยากเดินทางด้วยรถไฟ เพราะสำหรับผมการเดินทางด้วยรถไฟมันให้ฟิลลิ่งที่ตื่นเต้นดี มันเหมือนกับเราได้เที่ยวตั้งแต่วินาทีแรกที่รถไฟขยับออกจากสถานีเลย และครั้งสุดท้ายที่ได้ใช้รถไฟเดินทางก็น่าจะเกือบ 5 ปีแล้ว จึงรู้สึกคิดถึงบรรยากาศการเดินทางด้วยรถไฟ ส่วนทางศรีภรรยานั้นไม่เคยแม้แต่จะไปเหยียบหัวลำโพงแต่เธอก็พร้อมที่จะลองอะไรใหม่ๆ อันนี้ก็ต้องขอขอบคุณทางภรรยามากๆ ที่ยอมลำบากและตามใจผม
ครั้งแรกกับรถไฟชั้น 2
จริงๆแล้วเราสองคนตั้งใจที่จะใช้บริการรถไฟตู้นอนชั้น 1 แต่ดันจองไม่ทันเพราะเต็มเร็วมากจึงใช้บริการเป็นตู้นอนชั้น 2 แทนโดยรวมก็นับว่าดีเยี่ยม และเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ไม่มีบริการตู้เสบียงและไม่อนุญาตให้แม่ค้าตามสถานีต่างๆขึ้นมาขายอาหาร ซึ่งตรงนี้ผมเสียดายมากเพราะชอบซื้ออาหารที่ชาวบ้านนำมาขาย มันอาจจะไม่อร่อยว้าวแต่มันได้ฟิลลิ่งดี
18.15 น. รถไฟก็ออกจากหัวลำโพง แบบตรงเวลาเป๊ะๆ หลังจากนั้นก็เป็นช่วงเวลา "ส่อง" ส่องกรุงเทพฯ ที่อยู่ตามทางรถไฟ ความพิเศษอย่างนึงของการเดินทางด้วยรถไฟคือเราจะเห็นดวงไฟจากรถราและตึกรามบ้านช่องที่ค่อยๆ สว่างตามระยะทางที่รถไฟวิ่งออกไกลจากหัวลำโพงไปเรื่อยๆ ก็นับเป็นช่วงเวลาที่อภิรมย์ไม่ใช่น้อย
เตรียมตัวนอน
พอได้เวลาสักสองทุ่มกว่าๆ ก็จะมีเจ้าหน้ามาทำการปูเตียงให้เราเตรียมตัวนอน ซึ่งแน่นอนว่าเรายังไม่ง่วง แต่เนื่องจากเราออกจากหัวลำโพงมาได้ชั่วโมงกว่าๆแล้ว ความตื่นเต้นที่ได้เดินทางเริ่มสงบผู้คนภายในโบกี้ก็เริ่มเงียบ สิ่งเหล่านี้ทำให้เราคิดว่าควรเข้านอนได้แล้วละ(ตั้งแต่สามทุ่มกว่าๆ) ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่เราทั้งคู่จะนอนเวลานี้ถ้าเราอยู่ที่บ้าน และคืนนี้ก็จะเป็นคืนที่พิเศษหน่อย เพราะว่าเรามีเสียง "ฉึกฉัก" กล่อมเรานอน(หลับบ้างไม่หลับบ้าง)ทั้งคืน
เช้านี้ที่เชียงใหม่
นอนหลับๆตื่นๆทั้งคืน พอตี 5 กว่าๆ ก็ตื่นขึ้นมานั่งมองวิวข้างทางตั้งแต่ยังไม่มีแสง จนฟ้าเริ่มค่อยๆ สว่าง หลังจากนั้นไม่นานศรีภรรยาก็ตื่นมานั่งดูวิวด้วยกัน
หลังจากนั้นเราก็เริ่มเก็บของ ล้างหน้า แปลงฟัน เตรียมตัวให้พร้อมก่อนถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ กำหนดรถไฟถึงสถานีเชียงใหม่คือเวลา 07.30 น. ซึ่งรถไฟก็ถึงสนานีตามกำหนดเป๊ะๆ
แผนการเดินทาง
ทุกครั้งที่เรามาเชียงใหม่เราจะเช่ารถกับ "ลุงตู่ Chiang Mai Car Rent" เนื่องจากลุงตู่ใจดีและชิวมากๆ เราใช้รถอย่างสมบุกสมบันแค่ไหนลุงก็ไม่เคยตรวจสภาพรถใดๆทั้งสิ้น ฉะนั้นแล้วเราจึงเลือกบริการใช้รถของลุงตู่ทุกทริปไป
ทริปนี้เราจะขับวนรอบจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยรับรถที่สถานีรถไฟเชียงใหม่ ขับไปปายเป็นที่แรก วันที่สองไปบ้านรักไทย วันถัดมาไปดอยแม่อูคอ และคืนสุดท้ายที่แม่แจ่ม วันกลับเดินทางกลับกรุงเทพฯด้วยเครื่องบินที่สนามบินเชียงใหม่ ระยะทางทั้งหมด Google คำนวนได้ที่ 647km แต่ในการเดินทางจริงเราขับระยะไกลกว่านั้นพอสมควรนี้จึงเป็นทริปที่ใช้เวลาขับรถไกลและสนุกมากที่สุดในชีวิตทริปนึงเลยทีเดียว
เริ่มต้นที่อำเภอ ปาย
จากสถานีรถไฟเชียงใหม่ มุ่งหน้าสู่อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตัวผมนั้นเคยเที่ยวปายมาแล้วสองครั้งและก็ไม่ได้ประทับใจปายสักเท่าไหร่ เนื่องด้วยรู้สึกว่าปายมีความเป็นเมืองท่องเที่ยวมากๆ มุมมองส่วนตัวปายให้ความรู้สึกคล้ายๆกับการเที่ยวเขาใหญ่ในแง่ของมีการ setup สถานที่เที่ยวค่อนข้างเยอะ แต่ทางคุณภรรยานั้นยังไม่เคยเที่ยวปายมาก่อนและไหนๆ ก็ต้องผ่านปายอยู่แล้วก็เลยพาเมียเที่ยวปายเป็นจุดแรกสะเลย
การขับรถขึ้นปายก็เท่าที่ทราบกันว่าโค้งเยอะมากๆ แต่ถนนดีขับสบายๆ โดยก่อนถึงอำเภอเมืองปายจะเจอจุดพักรถที่ผมจะมาจอดประจำ จุดตรงนี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์สำหรับผมว่าเราเข้าใกล้ปายมากแล้ว
สะพานประวัติศาสตร์ปาย
หลังจากพักรถและพักคนเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางกันต่อและก่อนจะถึงตัวอำเภอเมืองปายเราก็ต้องผ่าน "สะพานประวัติศาสตร์ปาย" สะพานนี้เปรียบได้ว่าเป็นประตูสู่เมืองปายเลยทีเดียว
ความสำคัญของสะพานแห่งนี้ก็คือเป็นสะพานที่สร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทหารประเทศญี่ปุ่น เพื่อใช้ข้ามแม่น้ำปายและลำเลียงเสบียงและอาวุธเข้าไปยังประเทศพม่า แต่เดิมเป็นสะพานไม้แต่ได้ถูกเผาทำลายไปชาวบ้านก็ได้รวมพลังกันสร้างขึ้นมาใหม่ก็ดันมาโดนน้ำป่าพัดทำลายไปอีก สุดท้ายทาง อ.ปาย จึงได้ทำเรื่องขอสะพานเหล็กนวรัฐ เดิมของ จ.เชียงใหม่ ซึ่งขณะนั้นไม่ได้ใช้งานแล้วนำมาใช้แทนและยังใช้จนมาถึงปัจจุบัน
Pai Hot Spring Spa Resort
หลังจากแวะเที่ยวสะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย ด้วยความเหนื่อยและแดดแรงมากๆ เราจึงตัดสินใจที่จะไปพักผ่อนที่ resort ที่ได้จองเอาไว้ก่อน คืนแรกเราจะพักที่ Pai Hot Spring Spa Resort เป็น Resort ติดแม่น้ำปายแถมยังมีสระน้ำแร่ร้อนจากธรรมชาติบริการสะด้วย ตัวที่พักออกจะโทรมเสียหน่อย แต่บรรยากาศนั้นดี ร่มรื่น ติดแม่น้ำปายช่วงบ่ายมีช้างมาเล่นน้ำด้วย
คอฟฟี่อินเลิฟ@ปาย
หลังจากพักผ่อนหายเหนื่อยบวกกับความร้อนแรงของแสงแดดที่เริ่มลดลง เราจึงออกจากที่พักเพื่อไปสำรวจปายกัน เราขับรถออกมาโดยที่ไม่ได้มีแผนท่องเที่ยวชัดเจนนัก ก็ด้วยเนื่องจากตัวผมรู้สึกว่าปายไม่มีอะไรให้ว้าวสักเท่าไหร่ เราจึงตัดสินใจว่าจะขับรถวนๆดูเมือง แล้วถ้าเจออะไรน่าสนใจแล้วค่อยจอดรถลงไปดู จากนั้นค่อยไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่พระธาตุแม่เย็น เสร็จแล้วไปหาอะไรกินกันต่อที่ถนนคนเดิน
ขับรถออกจากที่พักไม่นานเราก็ผ่านร้านกาแฟในตำนานอย่าง "คอฟฟี่อินเลิฟ@ปาย" ตัวผมเองก็ไม่เคยแวะที่นี้หรอกเพราะรู้สึกว่ามันเป็นที่เที่ยว setup ในแบบที่เราไม่ชอบ แต่วันนี้ไม่รู้อะไรดลใจทำให้ตัดสินใจเลี้ยวรถจอดโดยพลัน และเราก็พบว่า เออที่นี้ก็วิวสวยและมีมุมให้ถ่ายภาพเพียบ งานนี้คุณภรรยาได้รูปไปเยอะเลยละ
วัดพระธาตุแม่เย็น
จากนั้นเราก็ไปต่อที่ "วัดพระธาตุแม่เย็น" วัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของปาย ที่นอกนอกจากจะเป็นวัดเก่าแก่แล้วยังเป็นจุดชมวิวยอดนิยมของปายด้วย โดยที่เราต้องเดินขึ้นบันไดไปจุดชมวิวประมาณ 300 ขั้นและด้านบนนั้นจะมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยสีขาวองค์ใหญ่ให้เราได้สักการะด้วย ซึ่งบอกเลยว่า 300 ขั้นชิวๆ แค่พอให้ได้ขาสั่นประมาณหนึ่ง (โม้)
พอขึ้นมาถึงพระอาทิตย์ก็เริ่มใกล้ตกลงหลังเขา พอถ่ายรูปย้อนแสงก็จะได้ภาพแสงฟุ้งๆ แบบนี้
ถนนคนเดินปาย
จุดต่อไปและเป็นจุดสุดท้ายของวันแรกก็คือ ถนนคนเดินปาย ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยว และค้าขายจุดสำคัญที่สุดของปาย ที่นี้จะมีของฝาก เสื้อผ้า อาหารสตรีทฟู้ด และผับ บาร์ เรียกว่าเป็นจุดศูนย์รวมความบรรเทิงยามค่ำคืนของคนมาเที่ยวปายเลยทีเดียว
หลังจากที่เราเดินสำรวจถนนคนเดินจนทั่วแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราสองคนต้องกลับไปพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมกับการเดินทางในเช้าวันต่อไปที่แน่นอนว่าจะยิ่งสวยงาม และสนุกกว่าวันแรกที่แม่ฮ่องสอนอย่างแน่นอน.
Comentários